Friday, January 23, 2015

ทัศนศึกษาอยุธยาเมืองเก่าเราแต่ก่อน


วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ.2558 พวกเรานักเรียนชั้นม.5 โรงเรียนเบญจมราชูทิศราชบุรี ได้มีโอกาสไปทัศนศึกษาที่จังหวัดอยุธยา โดยเริ่มออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่ โดยรสบัสที่ทางโรงเรียนได้จัดหาไว้ให้ 


ภาพบรรยากาศระหว่างการเดินทาง (ถ่ายจากบนรถบัส) 


"MILLION TOYS MUSEUM" สถานที่แรกที่พวกเราได้เข้าไปเยี่ยมชมในการทัศนศึกษาครั้งนี้ 





บรรยากาศข้างในมีของเล่นมากมาย บางชิ้นเป็นของหายาก ชวนให้นึกถึงวัยเด็ก 














ต่อจากนั้น พวกเราได้เดินเท้ามาที่วัดพนมยงค์ซึ่งเป็นจุดพักรถก่อนจะเคลื่อนขบวนเดินทางกันต่อไป


สถานีต่อไป...วัดหน้าพระเมรุ

ภาพต้นไทรขึ้นโอบล้อมพระเจดีย์ที่วัดหน้าพระเมรุ

พวกเราได้ทำการสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำวัดหน้าพระเมรุก่อนจะเคลื่อนขบวนย้ายกันต่อไปที่สถานีต่อไป...

 วัดมงคลบพิตรหรือ"วิหารพระมงคลบพิตร"
  
บรรยากาศภายในพระวิหาร


พระมงคลบพิตร พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำวิหารอีกหนึ่งพระพุทธรูปเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองประจำอยุธยา


บรรยากาศภายนอก มีไม้ประดับจัดเป็นสวนข้างหน้า ช่วยเพิ่มสีสันและบรรยากาศที่ดีไม่น้อย




สมาชิกของกลุ่มพวกเรา ไม่ได้ดึงมันตึงเอง


สถานีสุดท้าย "ตลาดน้ำอโยธยา" 




ที่นี่มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย มีอาหารที่หลากหลาย ผู้คนที่เป็นกันเอง ของฝากราคาไม่แพง และการแสดงย้อนยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวมากมาย

 การเดินทางสิ้นสุดลงเมื่อเรากลับถึงโรงเรียนในเวลาประมาณ 18.00 น.

หากมีโอกาสก็อย่าลืมเที่ยวชม
"อยุธยา เมืองเก่าของเราแต่ก่อน" 



เรียบเรียงโดย
นักเรียนชั้นม.5/3 เลขที่ 30,32,33,36,48


Friday, August 29, 2014

เรามาปลูกต้นไม้กันเถอะ!


ใน วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม 2557 กลุ่มเราได้ทำการปลูกต้นไม้เพื่อพัฒนาชุมชนใน ต.บ้านไร่ อ.เมือง จ.ราชบุรี โดยพวกเรานั้นเล็งเห็นว่าต้นไม้นั้นสามารถให้ประโยชน์แก่ชุมชนได้ประการ ทั้งสร้างความร่มรื่น และทำให้ชุมชนสวยงามน่าอยู่ยิ่งขึ้นไปอีกด้วย อีกทั้งยังสามารถช่วยในเรื่องของการลดภาวะโลกร้อนอีกด้วย





  ต้นไม้ที่ใช้ปลูกคือ ต้น"คูน" หรือ ต้น"ราชพฤกษ์"


ลักษณะของพืช  : คูนเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ใบรูปไข่ปลายแหลม ดอกเป็นช่อระย้าสีเหลือง และมีกลิ่นหอมอ่อนๆด้วย ฝักกลมยาวเวลาอ่อนฝักมีสีเขียวใบไม้  แก่จัดจะมีสีน้ำตาล

อีกทั้งต้นคูนมีสารพัดสรรพคุณ เช่น
  • ใบ  -   ขับพยาธิ
  • ดอก - แก้บาดแผลเรื้อรัง
  • เปลือก  -  บำรุงโลหิต
  • กระพี้ -  แก้โรครำมะนาด
  • แก่น -  ขับไส้เดือนในท้อง
  • ราก -  แก้ไข้ แก้โรคคุดทะราด
  • เมล็ด - รักษาโรคบิด

  • ฝักแก่ - รสหวานเอียนเล็กน้อย เป็นยาระบายถ่ายสะดวกไม่มวนไม่ไซ้ท้อง มีสารแอนทราควิโนน (Anthraquinoneglycoside) เป็นตัวยาระบาย











    และในวันเดียวกัน เพื่อนๆอีกกลุ่มของเราได้ปลูกต้นไม้พัฒนาชุมชนในท้องถิ่น ที่ตำบลคลองตาคต อำเภอโพธาราม จ.ราชบุรี                                        



                




     


                                                                                                                                                                             



 ปลูกไม้ยืนต้นในที่ผืนดินที่ค่อนข้างแห้งแล้งและปลูกถั่วเขียวซึ่งเป็นพืชคลุมหน้าดิน 

ทำไมการปลูกพืชพวกถั่วทำให้ดินดี

ดินที่ดีต้องมีไนเตรทสำหรับพืชดูดขึ้นมาเป็นอาหารอาจทำได้โดยใส่ปุ๋ยไนเตรมลงในดิน หรือโดยการปลูกพืชจำพวกถั่ว เช่น ถั่วเขียว ถั่วลิสง ถั่วฝักยาว และถั่วอื่นๆ อีกหลายชนิด พืชจำพวกถั่วสามารถเปลี่ยนไนโตรเจนในอากาศมาเป็นสารประกอบไนโตรเจนซึ่งพืชใช้เป็นอาหารได้ โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างถั่วกับบัคเตรีบางชนิดในดิน บักเตรีจะจับกลุ่มอยู่ที่รากของถั่ว ดังที่เราเห็นปมตามรากถั่ว บักเตรีใช้บางส่วนของพืชเป็นอาหารและทำหน้าที่ดึงไนโตรเจนในอากาศลงมาในดิน เมื่อพืชตายและรากเน่าเปื่อยไปทำให้ปริมาณไนเตรทในดินมีมากขึ้น การปลูกพืชหมุนเวียนด้วยถั่วจึงทำให้ดินมีปุ๋ยดีขึ้น การที่พืชและบักเตรีอาศัยซึ่งกันและกันเช่นนี้เป็นอุทาหรณ์อีกอันหนึ่งของการอยู่ร่วมกัน บักเตรีในพืชจำพวกถั่วนี้นอกจากใช้ปรุงอาหารจำพวกไนเตรทแล้วรากของถั่วสามารถหยั่งลึกลงไปในดินแข็งๆ ได้ จึงทำให้ดินมีปุ๋ยดีหยั่งลึกลงไปใต้ผิวดินเกินกว่าปกติซึ่งเป็นการช่วยให้พืชอื่นๆ ที่นำมาปลูกทีหลังสามารถหยั่งรากลงไปลึกๆ ได้ โดยวิธีการนี้ทำให้ดินส่วนลึกๆ แตกแยกออกจากกัน บักเตรีและน้ำสามารถลงไปลึกกว่าปกติได้ ในที่สุดรากของต้นไม้จะหยั่งลึกลงไปจนถึงชั้นแร่ธาตุที่อยู่ใต้พื้นดินลึกๆ ได้ นอกจากนี้พืชจำพวกถั่วยังช่วยทำให้พื้นดินชุ่มชื้นขึ้นหลังจากการหว่านไถแล้ว พืชตระกูลถั่วเป็นพืชชนิดที่ทำให้ดินมีปุ๋ยดีที่สุด ทั้งยังทำให้รากของต้นไม้สามารถหยั่งลึกลงไปในดินได้มากกว่าปกติ



  • ทำไมเราถึงต้องปลูกต้นไม้?
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .

    ปลูกต้นไม้ 1 ต้น ได้อะไรมากกว่าที่คิด 
         วันนี้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ได้รับความสนใจจากผู้คนมากที่สุดคือ  ปัญหาโลกร้อน หรือสภาวะเรือนกระจก  ซึ่งวิธีการแก้ปัญหา หรือลดความรุนแรงของปัญหานี้ได้ดีที่สุดก็คือ การเพิ่มพื้นที่สีเขียว หรือการปลูกต้นไม้เพิ่มนั่นเอง

         เป็นความรู้ตั้งแต่สมัย มัธยมว่า ต้นไม้ช่วยลดโลกร้อนด้วยการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกเข้าไปเพื่อใช้ในการสังเคราะห์แสง โดยตลอดอายุขัยของไม้ยืนต้น 1 ต้น จะสามารถเก็บกักคาร์บอนได้เฉลี่ย 1-1.7 ตันคาร์บอน และยังสามารถดูดซับก๊าซอื่นๆ ที่เป็นพิษต่อร่างกายมนุษย์ และสิ่งแวดล้อมได้อีก เช่น ก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ และก๊าซโอโซนเป็นต้น

         นอกจากนี้ต้นไม้ 1 ต้นยังสามารถดักจับอนุภาคมลพิษบางชนิดได้ เช่น ฝุ่น ควัน ไอพิษต่างๆ ได้ถึง 1.4 กิโลกรัม/ปี

         ต้นไม้ 1 ต้น จะปลดปล่อยก๊าซออกซิเจนที่คนและสัตว์จำเป็นต้องใช้ในการหายใจออกมา ได้ถึง 200,000 – 250,000  ลิตรต่อปี ซึ่งสามารถรองรับความต้องการก๊าซออกซิเจนของมนุษย์ได้ถึง 2 คนต่อปี  (ความต้องการก๊าซออกซิเจนของคน = 130,000 ลิตร / คน / ปี)

         แต่ นอกจากประโยชน์ในการช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศแล้ว ต้นไม้ยัง เป็นแหล่งอาหาร ยารักษาโรค เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตนานาชนิด อาทิ ไลเคน มอส  เฟิร์น ไม้เถา และพืชอิงอาศัย สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเช่น มด  แมลง แมงมุม และสัตว์มีกระดูกสันหลังเช่น นก กิ้งก่า จิ้งจก งู กระรอก

         ดินที่ร่วนซุย และอุดมสมบูรณ์ใต้ต้นไม้สามารถอุ้มน้ำได้ถึง 50% ในดินที่ร่วนซุยยังเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด เช่น ไส้เดือนดิน กิ้งกือ ตะขาบ กิ้งก่า กบเขียด หนู มดและแมลงต่างๆ

         ต้นไม้ยังสามารถป้องกันแสงและความร้อนจากดวงอาทิตย์ น้ำที่ระเหยจากการคายน้ำที่ใบใบยังช่วยดูดความร้อนจากบรรยากาศ ทำให้อุณหภูมิบริเวณนั้นลดลงได้ถึง 3-5 องศาเซลเซียส หากปลูกต้นไม้ไว้บริเวณบ้านจะช่วยลดอุณหภูมิรอบๆ บ้านได้ถึง 2-4 องศาเซลเซียส และการปลูกต้นไม้ในรั้วบ้านยังเป็นการปรับปรุงทัศนียภาพ ตกแต่งบ้านให้สวยงามร่มรื่น

         นี่ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประโยชน์ที่จะได้จากการปลูกต้นไม้เพียง 1 ต้น หากปลูกรวมกันหลายๆ ต้น เป็นสวน เป็นป่า เกิดเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้อยใหญ่ เป็นระบบนิเวศ จะก่อเกิดประโยชน์ต่างๆ อีกมากมายมหาศาลให้แก่มวลมนุษย์ ธรรมชาติ และโลกของเรา
     
    credit :
    - http://www.seub.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=350:seubmews&catid=5:2009-10-07-10-58-20&Itemid=14  
    - http://www.l3nr.org/posts/337158
    - http://www.ajareeherb.com/2010-06-10-03-39-49/2010-06-10-08-06-54.html
  • -http://www.tei.or.th/ce/th_ce_branch.htm


 

Friday, August 22, 2014

ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุด 10 อันดับ

10. ทะเลทรายเกรตเบซิน


อันดับที่ 10 ได้แก่ ทะเลทรายเกรตเบซิน มาเริ่มต้นการจัดอันดับทะเลทราย ของ ทีมงาน toptenthailand ด้วย " ทะเลทรายเกรตเบซิน " อยู่ทางภาคตะวันตกของสหรัฐอเมริกา ทวีปอเมริกาเหนือ พื้นที่รวมทั้งหมด : 492,000 ตารางกิโลเมตร (190,000 ตารางไมล์)

9. ทะเลทรายซีเรีย



อันดับที่ 9 ได้แก่ ทะเลทรายซีเรีย อันดับที่ 9 ของการจัดอันดับ toptenthailand ได้แก่ " ทะเลทรายซีเรีย " ตั้งอยู่ ในเขตประเทศซีเรีย อิรัก ซาอุดิอารเบีย จอร์แดน และส่วนหนึ่งของอิสราเอล ภูมิภาคเอเชียตะวันออกกลาง พื้นที่รวมทั้งหมด : 492,000 ตารางกิโลเมตร (190,000 ตารางไมล์)

8. ทะเลทรายเกรตวิคตอเรีย



อันดับที่ 8 ได้แก่ ทะเลทรายเกรตวิคตอเรีย อันดับที่ 8 ของการจัดอันดับ toptenthailand ได้แก่ "ทะเลทรายเกรตวิคตอเรีย " ตั้งอยู่ในประเทศออสเตรเลียทางฝั่งตะวันตก ตั้งอยู่ระหว่างทะเลทรายกิบสันกับที่ราบนัลลาร์บอร์ มีเนื้อที่ประมาณ 424,000 ตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่โล่งแห้งแล้งกว้างใหญ่ เกือบไม่มีพืชขึ้นเลย มีเพียงหญ้าสนามสปินิเฟกซ์

7. ทะเลทรายปาตาโกเนีย



อันดับที่ 7 ได้แก่ ทะเลทรายปาตาโกเนีย และแล้วก็มาถึงอันดับที่ 7 ของการจัดอันดับ toptenthailand กันเสียที ทะเลทรายที่ครองอันดับที่ 7 ได้แก่ " ทะเลทรายปาตาโกเนีย " อยู่ทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ ในเขตที่ราบสูงปาตาโกเนีย ประเทศอาร์เจนติน่า และชิลี มีพื้นที่รวมทั้งหมด : 670,000 ตารางกิโลเมตร (260,000 ตารางไมล์)

6. ทะเลทรายคาลาฮารี
 อันดับที่ 6ได้แก่ ทะเลทรายคาลาฮารี มาถึงอันที่ 6 กันแล้วนะครับสำหรับการจัดอันดับของ toptenthailand ทะเลทรายคาลาฮารี เป็นอาณาจักรสัตว์ที่มีขนาดมโหฬารนะครับกินเนื้อที่ 5 ประเทศคือ อาฟริกาใต้ อังโกล่า นามิเบีย บอสวาน่า และ ซิมบับเว ขนาดประมาณ 900,000 ตารางกิโลเมตร (360,000 ตารางไมล์) ซึ่งมีขนาดใหญ่มากกว่าประเทศไทยมากกว่า 2 เท่าเลยทีเดียว

5. ทะเลทรายโกบี



อันดับที่ 5 ได้แก่ ทะเลทรายโกบี มาถึงอันดับที่ 5 ของการจัดอันดับ toptenthailand ทะเลทรายที่ได้ครอบครองอันนี้ได้แก่ "ทะเลทรายโกบี" ตั้งอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างประเทศมองโกเลียตอนใต้กับเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน ทางตอนเหนือของประเทศจีน โกบีเป็นทะเลทรายที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก ทอดตัวเป็นแนวโค้งยาว 1,600 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 1.3 ล้านตารางกิโลเมตร ซึ่งใหญ่พอ ๆ กับรัฐอะแลสกาของสหรัฐอเมริกา ทะเลทรายแห่งนี้ตั้งอยู่บนที่ราบสูงเหนือระดับน้ำทะเล 900-1,500 เมตร พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นหินล้วนทางด้านตะวันออก ส่วนด้านตะวันตกเป็นทราย

4. ทะเลทรายอาหรับ



อันดับที่ 4 ได้แก่ ทะเลทรายอาหรับ มาถึงอันดับที่ 4 ของการจัดอันดับ toptenthailand ผลปรากฏว่า "ทะเลทรายอาหรับ" เป็นทะเลทรายที่อยู่ในคาบสมุทรอาหรับ อยู่ในประเทศซาอุดีอาระเบียและมีขอบเขตถึงประเทศจอร์แดน อิรัก คูเวต กาตาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โอมาน และเยเมน มีพื้นที่ประมาณ 2,330,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งตรงกลางมีทะเลทรายรุบัลคอลี

3. ทะเลทรายสะฮารา



อันดับที่ 3 ได้แก่ ทะเลทรายสะฮารา มาถึงอันดับที่ 3 toptenthailand กันเสียที เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก "ทะเลทรายสะฮารา" เป็นทะเลทรายในทวีปแอฟริกาที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก และเป็นดินแดนแห้งแล้ง(รองจากทะเลน้ำ แข็งทวีปแอนตาร์กติกา) มีเนื่อที่มากกว่า 9,000,000 ตารางกิโลเมตร หรือ 3,500,000 ตารางไมล์ คำว่า สะฮารา ในภาษาอาหรับ หมายถึง ทะเลทราย อาณาเขตของทะเลทรายสะฮารา ด้านทิศตะวันตกจรดมหาสมุทรแอตแลนติก ทิศเหนือคือเทือกเขาแอตลาสและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทิศตะวันออกจรดทะเลแดงและประเทศอียิปต์ ทิศใต้จรดประเทศซูดานและหุบเขาของแม่น้ำไนเจอร์

2. อาร์กติก



อันดับที่ 2 ได้แก่ อาร์กติก มาถึงรางวัลเหรียญเงินของ toptenthailand ได้แก่ "อาร์กติก" เป็นพื้นที่ในบริเวณขั้วโลกเหนือ ซึ่งบริเวณของอาร์กติกนี้ประกอบไปด้วยพื้นที่บางส่วนของประเทศต่าง ๆ เช่น แคนาดา, กรีนแลนด์ (ดินแดนของเดนมาร์ก), รัสเซีย, สหรัฐอเมริกา (อะแลสกา), ไอซ์แลนด์, นอร์เวย์, สวีเดน และฟินแลนด์ รวมถึงบริเวณของมหาสมุทรอาร์กติกด้วย บริเวณพื้นที่ส่วนใหญ่ของอาร์กติกจะเป็นพื้นที่กว้าง มหาสมุทรปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง พื้นที่รอบ ๆ ปราศจากพืชพันธุ์และผืนดินก็ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งเช่นเดียวกัน มีพื้นที่รวมถึง 13,700,000 ตารางกิโลเมตร (5,300,000 ตารางไมล์)

1. แอนตาร์คติกา



อันดับที่ 1 ได้แก่ แอนตาร์คติกา มาถึงรางวัลเหรียญทองของ toptenthailand เป็นของใครไปไม่ได้ "แอนตาร์คติกา" เป็นทวีปที่อยู่รอบขั้วโลกใต้ของโลกล้อมรอบด้วยมหาสมุทร มีตำแหน่งอยู่ตรงข้ามกับเขตอาร์กติก ที่อยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือ ตัวทวีปถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนโดยเทือกเขาทรานส์แอนตาร์กติก (transantarctic mountains) ถือว่าเป็นดินแดนที่มีอากาศหนาวเย็นที่สุดในโลก โดยพื้นที่เกือบทั้งหมดปกคลุมด้วยน้ำแข็ง และยังนับเป็นดินแดนร้างแล้ง (desert) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ( พื้นที่รวมทั้งหมด : 13,829,430 ตารางกิโลเมตร (5,339,573 ตารางไมล์) )โดยไม่มีมนุษย์ตั้งรกรากอยู่อาศัยถาวร (แต่มีสถานีวิจัยกระจายอยู่ทั่วทวีป) สิ่งมีชีวิตพื้นถิ่นได้แก่ เพนกวิน แมวน้ำ และสาหร่าย

ที่มา : http://www.toptenthailand.com/topten/detail/20131128160426303

Friday, August 15, 2014

20 สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าทึ่งและสวยงาม

1. Zhangye Danxia landform in Gansu, China 

ภูเขาสีรุ้ง หรือ ภูเขาหลากสีในเขตมณฑลกันซู่ ประเทศจีน เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เรียกได้ว่าเป็นงานศิลปะที่สรรสร้างด้วยฝีมือ ธรรมชาติโดยแท้ ภาพภูเขหลากหลายสีสันตรงนี้ เกิดจากการตกตะกอนของหินทราย และแร่ธาตุในบริเวณนี้ทับถมกันมานานกว่า 24 ล้านปีนั่นเอง

2. The swing at the “End of the World” in Baños, Ecuador

ภูเขาไฟที่ยังครุกรุ่นอยู่ ยังไม่ดับสนิท แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ประเทศเอกวาดอร์ การมาชมภูเขาไฟที่นี่ไม่ธรรมดา จะมีการชมวิวภูเขาไฟที่ไหนที่ตื่นเต้นได้มากกว่านี้อีกไหม? ไกวชิงช้าที่ผูกไว้ในบ้านต้นไม้ออกไปที่หน้าผาเพื่อรับรู้ความรู้สึกของ ธรรมชาติ ความสูงเสียดฟ้า ไม่มีเข็มขัดนิรภัยให้อึดอัด รับรองว่าเสียวไปถึงสันหลัง 

3. The Great Blue Hole in Belize

หลุมยักษ์น้ำเงินครามแห่งเบลิซ ประเทศนี้อยู่บนฝั่งตะวันออกของอเมริกากลาง ริมทะเลแคริบเบียน หลุมนี้อยู่ห่างจากชายฝั่งเบลิซประมาณ 60 ไมล์ เส้นผ่าศูนย์กลาง 984 ฟุต กับความลึกประมาณ 410 ฟุต เชื่อกันว่าหลุมนี้เป็นหลุมกลางทะเลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สันนิษฐานกันว่ามันก่อตัวขึ้นในยุคน้ำแข็ง แถมหลุมนี้ยังเป็น 1 ใน 7 หลุมที่นักประดาน้ำจัดอันดับสถานที่น่าดำน้ำที่สุดในโลกอีกด้วย

4. Tulip fields in the Netherlands

ทุ่งดอกทิวลิปในเนเธอร์แลนด์ได้ชื่อ ว่าเป็นทุ่งดอกไม้แห่งยุโรป หลายร้อยกี่หลายพันไร่ที่นี่เต็มไปด้วยทิวลิป หากมองจากภาพมุมสูงจะเหมือนว่าพื้นดินตรงที่ปลูกดอกไม้เป็นพรมชั้นดีที่มี สีสันหลากหลายสดใสตระการตา ที่นี่นอกจากเป็นแหล่งปลูกดอกไม้ที่ยิ่งใหญ่ของโลก ยังเป็นแหล่งค้าขายดอกไม้ส่งออกทั่วโลกเป็นอันดับ 1 ของโลกอีกด้วย

5. The Hang Son Doong cave in Quang Binh Province, Vietnam
Son Doong เป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติ Phong Nha-Ke Bang เขต Bo Trach จังหวัด Quang Binh ประเทศเวียดนาม ใกล้พรมแดนระหว่างประเทศเวียดนามกับลาว โถงที่ใหญ่ที่สุดภายในถ้ำซันดองนี้ ยาวกว่า 4,000 เมตร กว้างกว่า 200 เมตร และสูงกว่า 150 เมตร คาดว่าถ้ำนี้มีมาตั้งแต่ 2-5 ล้านปีที่แล้ว

6. Hitachi Seaside Park in Hitachinaka, Ibaraki, Japan

ยิ่งกว่าเทพนิยาย "Hitachi Seaside Park" หรือ สวน “Hitachi Nakakoen” เป็นสวนที่ได้รับความนิยมมากในญี่ปุ่น มีขนาดกว่า 153 เฮกเตอร์ ดอกไม้ที่ปลูกที่นี่มีความสวยงาม น่าตื่นตาตื่นใจ เพราะในแต่ละฤดูกาล ทางสวนจะมีการปลูกดอกไม้ที่แตกต่างกันออกไป ไฮไลท์คือการมาถึงเนินเขาที่เต็มไปด้วย ดอก“Nemophilia” ซึ่งเป็นดอกไม้สีฟ้าขนาดเล็กสวยเหมือนในนิทาน 4.5 ล้านดอกเรียงๆ กันอย่างอลังการ

7. Mendenhall Ice Caves of Juneau in Alaska, United States

อุโมงค์น้ำแข็ง อลาสก้า ยาวกว่า 12 ไมล์ หรือ 19 กิโลเมตร ตั้งอยู่ที่หุบเขา Mendenhall ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมือง Juneau รัฐอลาสก้า ประเทศสหรัฐอเมริกา ก้อนน้ำแข็งน้อยใหญ่จำนวนมหึมา แขวนตัวลอยอยู่ในอากาศ น้ำแข็งบางส่วนที่ละลายสร้างธารน้ำไหลลอดลงสู่โตรกหินด้านล่าง เป็นความอลังการจากธรรมชาติจริงๆ 

8. Mount Roraima in Venezuela, Brazil, and Guyana
  
ภูเขา Roraima สูงเสียดฟ้าแห่งนี้ เกิดจาดการก่อตัวทางธรณีวิทยาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเมื่อประมาณ 2 พันล้านปีที่ผ่านมา ตั้งอยู่เป็นชายแดนระหว่าง 3 ประเทศ คือ บราซิล, กายอานา และเวเนซุเอลา 

9. Ancient Region of Anatolia in Cappadocia, Turkey

คัปปาโดเกีย (Cappadocia) เมืองมหัศจรรย์ที่ตั้งอยู่ในประเทศตุรกี เป็นเมืองที่ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นเมืองมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ.1985 เป็นพื้นที่พิเศษเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเออซิเยส และภูเขาไฟ ฮาซาน เมื่อประมาณ 3 ล้านปีมาแล้ว (ปัจจุบันภูเขาไฟทั้ง 2 ดับแล้ว) ทำให้ลาวาที่พ่นออกมา เถ้าถ่านจำนวนมหาศาลกระจายไปทั่วบริเวณทับถมเป็นแผ่นดินชั้นใหม่ขึ้นมา เกิดเป็นภูมิประเทศประหลาดแปลกตาน่าพิศวงสารพัดรูปร่าง เมืองนี้ได้กลายเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยม และเป็นจุดที่ชื่นชอบสำหรับบอลลูนอีกด้วย

10. Sea of Stars on Vaadhoo Island in the Maldives

แสงสวยงามที่ระยิบระยับตามแนวชายหาด ของมัลดีฟส์ยามค่ำคืนอาจจะเหมือนเป็นแสงจากดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า แต่ที่จริงแล้ว คือ จุลินทรีย์ทางทะเล หรือ แพลงก์ตอนพืชที่เรืองแสงอยู่ในน้ำนั่นเอง ทำให้เกิดแสงสีน้ำเงินสวยน่าตื่นตาตื่นใจตามชายหาด

 11. Victoria Falls bordering Zimbabwe and Zambia in Africa

เคยเล่นน้ำตกที่เสียวขนาดนี้ไหม? 355 ฟุตจากหน้าผา น้ำตกนี้ตั้งอยู่ที่ชายแดนของประเทศแซมเบีย และซิมบับเวเป็นน้ำตกที่กว้างที่สุดในทวีปแอฟริกา นอกจากนี้ที่แซมเบียยังเรียกที่นี่ว่า “สระว่ายน้ำของซาตาน” ได้ยินเพียงแค่นี้นักท่องเที่ยวที่รักการผจญภัยก็อดที่จะไม่ไปสักครั้งหนึ่ง ไม่ได้แล้วล่ะ 

12. Trolltunga in Hordaland, Norway

Trolltunga มีความหมายว่าลิ้นของโทรลล์ ด้วยความที่เป็นชะง่อนผาที่มีลักษณะคล้ายกับการแลบลิ้นออกมาจากภูเขาประมาณ 2,000 ฟุตลอยอยู่กลางอากาศแบบนี้นั่นเอง หากยอมปืนเขาที่สูงกว่า 700 เมตรนี้ได้ จะเห็นวิวที่คุ้มค่ากับที่ปืนขึ้นมาแน่นอน เพราะวิวของแม่น้ำ Ringedalsvatnet สวยอย่างกับภาพวาด แต่ก็ต้องใช้เวลาเดินขึ้นเขาถึง 8-10 ชั่วโมงเลยทีเดียว ที่นี่สามารถมาเที่ยวได้ช่วงกลางเดือนมิถุนายน ถึงกลางเดือนกันยายน

13. Whitehaven Beach at Whitsunday Island in Australia

ความขาวของหาดไวท์ฮาเว่น ที่เป็นหนึ่งในหมู่เกาะวิธซันเดย์อันโด่งดังของออสเตรเลีย ชายหาดแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นชายหาดที่มีทรายขาวละเอียดโดยเม็ดทรายเป็นผลึก ซิลิการะยิบระยับถึง 98% ซึ่งเชื่อกันว่าที่มีชายหาดสวยงามขนาดนี้ก็เพราะกระแสน้ำในบริเวณนี้ที่พัด พาให้ทรายจากทะเลพัดเข้าฝั่งเป็นเวลากว่าหลายล้านปี นอกจากนี้ทรายที่มีมีลักษณะเฉพาะนอกจากขาวละเอียดสวยงามแล้ว ยังเป็นทรายที่ไม่เก็บความร้อน ทำให้เราสามารถเดินชิลล์เท้าเปล่าริมหาดได้อย่างสบายๆ 

14. The Grand Canyon in Arizona, United States

หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ของโลกก็คือที่นี่ “Grand Canyon” เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของรัฐอริโซน่า ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองคาสิโนชื่อดังอย่าง ลาสเวกัสประมาณ 3-4 ชั่วโมง แกรนด์แคนยอนเกิดขึ้นโดยอิทธิพลของแม่น้ำโคโลราโด ไหลผ่านที่ราบสูงทำให้เกิดการสึกกร่อน พังทลายของหินเป็นเวลา 225 ล้านปีมาแล้ว ในบริเวณซอกหลืบของหุบเขาน้อยใหญ่ยังมีการค้นพบร่องรอยอารยธรรม ของชาวอินเดียนแดงโบราณอีกด้วย

15. Marble Caves at General Carrera Lake in Patagonia (Argentina and Chile)

ถ้ำหินอ่อนนี้อยู่ในเขตพื้นที่ของทะเล สาบการ์เรรา (General Carrera) ทะเลสาบขนาดใหญ่ในเขตภูมิภาคปาตาโกเนีย (Patagonia) ภูมิภาคที่ตั้งอยู่ปลายใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ โดยทะเลสาบนั้นระหว่างชายแดนของอาร์เจนตินา และชิลี เป็นถ้ำที่เกิดจากกระแสน้ำได้กัดเซาะเป็นระยะเวลานับล้านปี จนภูเขาหินอ่อนเกิดเป็นถ้ำหินอ่อนอันงดงามไม่เหมือนถ้ำแห่งใดในโลก 

16. Tunnel of Love in Klevan, Ukraine

อุโมงค์แห่งความรัก (Tunnel of Love) คืออีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของประเทศยูเครน เป็นอุโมงค์รถไฟที่สร้างขึ้นจากต้นไม้อย่างสวยงามตั้งอยู่ในเขตเมืองเคลเว่น (Klevan) เมืองเล็กๆ ในจังหวัดริฟเน (Rivne region) จังหวัดที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันตกของประเทศยูเครนนั่นเอง เห็นแบบนี้โรแมนติกอย่าบอกใคร แนะนำให้เก็บเงินแล้วเตรียมไปถ่ายพรีเวดดิ้งที่นี่เลย


17. Salar De Uyuni in the Potosí and Oruro departments of southwest Bolivia

Salar de Uyuni เป็นทะเลเกลือที่ใหญ่ได้ชื่อว่าเป็น กระจกเงาที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง เป็นพื้นที่ราบที่ประกอบด้วยเกลือจำนวนมหาศาลบนเนื้อที่ 10,582 ตารางกิโลเมตร เป็นทะเลเกลือใหญ่ที่สุดของโลก อยู่ติดเขตระหว่างสองจังหวัดคือ Potosi และ Oruro ทางตอนใต้ของประเทศโบลิเวีย ลองมาตอนหน้าฝน จะเหมือนได้ยืนอยู่ท่ามกลางทะเลที่สะท้อนกับท้องฟ้าราวกับกระจก

18. Enchanted Well at Chapada Diamantina in Bahia, Brazil

ตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติ Chapada Diamantina ในบราซิล น้ำในบ่อนี้ใสราวกับกระจก ถึงแม้จะลึกถึง 120 ฟุตแต่ก็สามารถมองเห็นโขดหินที่อยู่เบื้องล่างได้อย่างเห็นชัด

19. Antelope Canyon in Arizona, United States

หุบเขาแอนทีโลพ เป็น 1 ในสถานที่ยอดนิยม สำหรับนักท่องเที่ยว อยู่ที่เมืองเพจ รัฐอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยภูมิประเทศที่เป็นร่องหินทรายที่ถูกน้ำกัดเซาะและได้ทิ้งร่องรอยการกัด เซาะที่คล้ายกลับหินผา เกิดจากการพังทลายของชั้นหิน Navajo Sandstone ซึ่งถูกกัดเซาะอย่างฉับพลันจากกระแสน้ำที่ซัดผ่าน ผสานความแรงจากกระแสลม พายุฝน ผ่านฤดูกาลต่างๆ ที่นี่กลายเป็น หุบเขาที่อันตรายที่สุด เนื่องจากบริเวณนั้นอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันได้ตลอดเวลา และระดับน้ำสามารถสูงถึง 10 เมตรทีเดียว อีกทั้งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งดึงดูดใจช่างภาพทั่วโลก เพราะสีสันจากธรรมชาติซึ่งเกิดจากการตกกระทบของแสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่าน ช่องแคบ สะท้อนกับสีของชั้นหิน Navajo Sandstone เกิดเป็นความสวยงามสุดประทับใจแก่ทุกสายตา

20. Fingal’s Cave on the island of Staffa in Scotland


แม้ว่า ถ้ำฟิงกอล ที่ประเทศสกอตแลนด์ นี้มันอาจจะดูเหมือนเป็นโครงสร้างบล็อกๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น  แต่ความจริงแล้วเสาหินหกเหลี่ยมนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจำนวนมาก ด้วยสภาพถ้ำที่เป็นโพรงแนวยาว ทำให้ภายในถ้ำเกิดเป็นเสียงสะท้อน คล้ายเสียงดนตรีได้ด้วย บางทีคนก็เรียกถ้ำนี้ว่า “Cave of melody”

ที่มา : http://www.telepart.net/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&WBntype=01&No=1383156